พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เหรียญตัดรุ้ง ห...
เหรียญตัดรุ้ง หลวงพ่อประเทือง (วัดเทพประทานพร) อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ปี 29
หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต พระครูวิทิตพัชราจาร วัดหนองย่างทอย
(วัดเทพประทานพร) อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ (วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ปีมะโรง) เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๕ คน ซึ่งเป็นชาย ๒ คน หญิง ๓ คน ของนายทำ นางมาก ยืนยง ณ บ้านคลองเม่า หมู่ที่ ๕ ตำบลโคนสะลุด อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
เริ่มการศึกษา

เมื่อเจริญวัยสมควรได้รับการศึกษาได้แล้ว บิดามารดานำไปเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดคลองเม่า ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น ครั้นจบการศึกษาแล้ว แม้จะมีความตั้งใจปรารถนาใคร่จะเล่าเรียนต่อก็ไม่มีโอกาสเนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจน ประกอบอาชีพกสิกรรม และไม่เอื้ออำนวยโดยประการทั้งปวงจึงอยู่ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพเหมือนลูกหลานตามชนบททั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อบุพพการีที่ได้โอบอุ้มอบรมเลี้ยงดู สั่งสอนมาด้วยความรัก ความเมตตาเอื้ออาทร และอีกประการหนึ่งก็เห็นว่าท่านเป็นบุตรคนสุดท้องที่พ่อแม่หวังจะได้พึ่งในบั้นปลายแห่งชีวิตต่อไปด้วยอพยพครอบครัว
ในขณะที่อายุได้ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๔๘๕ จังหวัดลพบุรีได้ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นโดยน้ำได้ท่วมหนักเป็นประวัติการณ์ถึงหลังคาบ้านไปทั่วทุกหมู่บ้าน ข้าวกล้านาล่ม เสียหายอย่างย่อยยับ แรงงานจากแรงคนที่ได้ลงแรงไป ก็มาสิ้นสลายไปกับสายน้ำอันหฤโหดอย่างหมดสิ้น ปลายทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง หมดหนทางที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว บิดามารดา จึงใคร่ครวญตัดสินใจอพยพครอบครัวทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องอันเป็นถิ่นกำเนิด โดยย้ายไปอยู่ที่ตำบล เขาช่องแค จังหวัดนครสวรรค์เพื่อเริ่มต้นชีวิต ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า
สู่ร่มกาสาวพัสตร์

เมื่ออพยพครอบครัวมาอยู่นครสวรรค์ ได้ประกอบสัมมาชีพ ยกฐานะครอบครัวมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง บิดามารดาได้ปรารถนาที่จะให้ท่านได้บรรพชาเป็นสามาเณร เพราะเล็งเห็นว่า การบวชเณรเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมวินัย ทั้งเป็นการผูกญาติสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นพระเพณีนิยมไปด้วย ซึ่งท่านเองเมื่อรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่ขัดข้องยินดีปฏิบัติตามความประสงค์ของบุพพการีทุกประการ
บิดามารดา ได้นำไปบรรพชาที่วัดหนองแขม ต.ทุ่งทะเล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ กับพระอาจารย์อ่อน เจ้าอาวาสวัดหนองแขม ผู้มีศักดิ์เป็นอาของท่าน ให้ช่วยดูแลอบรมสั่งสอน พระอาจารย์อ่อนรูปนี้เป็นพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน ทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานและแก่กล้าสรรพวิชาอาคมต่างๆอีกด้วย ครั้นบรรพชาแล้วในพรรษาแรกๆ ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ และวิชาอาคมกับหลวงอาพระอาจารย์อ่อน จนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงอาคิดจะทดสอบหลานจึงคิดทดสอบความอดทนและวิชาที่สั่งสอนให้ แล้วออกอุบายที่จะพาไปเที่ยวโดยให้เตรียมข้าวของเท่าที่จำเป็นสำหรับในการเดินธุดงค์ออกธุดงค์กับพระอาจารย์อ่อน ในปีนั้น เมื่ออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์อ่อน ได้นำสามเณรประเทืองเดินธุดงค์ไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี

แม้ว่ายังเป็นสามเณรอายุน้อยนิด ก็มีความอดทน แบกกลด ถือกรรมฐานกับพระอาจารย์อ่อนไปด้วย การเดินป่าในสมัยนั้น ประสบการความยุ่งยากลำบากเหลือเข็ญ ยังไม่มีรถยนต์ เป็นพาหนะเหมือนสมัยนี้ อีกทั้งตามป่าเขาลำเนาไพรยังชุกชุมไปด้วยไข้ป่า สัตว์ร้ายนานาชนิด เดินขึ้นเขาลงห้วยหาบ้านผู้คนก็ยากเย็นเต็มที แม้ว่าในตอนออกเดินทางจากวัดไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง แต่พอนานเข้าเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้สัมผัสกับความอดอยาก ลำบากในป่าเขา ก็เกิดอาการท้อแม้ใจขึ้นมาเหมือนกัน บางครั้งคิดอยากจะกลับวัดกลับบ้าน หลวงอาก็ปลอบโยนให้กำลังในอยู่เสมอๆ จะทำอย่างไรได้ เมื่อตัดสินในแล้วก็ต้องสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด สำหรับการเดินธุดงค์นั้น พระอาจารย์อ่อนมีกฎอยู่ว่าห้ามถามห้ามพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นและให้เฉยๆ ไว้ เดินตามหลวงอาไปอย่างเดียว พอถึงเวลาปักกลด หลวงอาก็ปักให้ (กลดสมัยนั้น คล้ายกับมุ้ง ๔ สาย) พอปักกลดเสร็จก็แยกไปปักอีกที่หนึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐วา ตกกลางคืนก็ร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องเสียงดัง กลัวหลวงอาดุเอา ทำให้เกิดความกลัว คิดไปต่างๆ จิตใจก็ไม่สงบ ยิ่งได้ยินเสียงเสือร้อง ก็ร้องไห้ตามเสือไปด้วย คิดจะกลับวัดอย่างเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้น พอรุ่งเช้าอาหารบิณฑบาตก็ไม่มีฉัน เพราะอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน จนบางครั้งต้องอาศัยข้าวตากแห้งที่เตรียมมาขบฉัน พอประทังชีวิตไปวันๆ หนึ่งก็เคยมี ครั้นรุ่งเช้าหลวงอาชวนออกเดินบิณฑบาต ก็คิดไปว่าป่าทั้งป่าจะไปบิณฑบาตที่ไหนกัน มองไปข้างไหนก็เห็นแต่ป่าทั้งนั้น

แต่ก็ไม่กล้าถาม โดยหลวงอาสั่งว่า ทำอะไรก็ให้ทำตาม พอเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ หลวงอาเปิดบาตรไว้สักครู่แล้วก็ปิดบาตร เดินมาที่อีกต้นหนึ่งก็ทำเหมือนเดิมอีก ก็ปฏิบัติตามเหมือนหลวงอาทุกอย่าง ถึงจะสงสัยก็ไม่กล้าถามอยู่ดี สามเณรประเทือง คิดอยู่ในใจว่า หลวงอาทำอะไรแปลกๆ หรือท่านจะรู้เห็นอะไรที่เราไม่รู้ก็เป็นได้ ครั้นกลับมาถึงที่พักก็เปิดบาตรดู ว่ามีอะไรอยู่บ้างเห็นแต่ความว่างเปล่าแต่ก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดีว่าท่านทำเพื่ออะไร แล้วหลวงอาก็สั่งให้เอาน้ำล้างบาตรนั้นมาดื่มกิน พอดื่มแล้วเหมือนกับว่า รู้สึกอิ่มอย่างแปลกประหลาดคล้ายกับว่าได้ฉันข้าวอย่างนั้นแหล่ะ สามารถอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกหิวกระหายแต่อย่างใดเลย เมื่อปฏิบัติอยู่ป่านานวันเข้า อาหารที่เตรียมมาก็หมดไปโดยปริยาย สิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อาหารของหลวงอาไม่รู้จักหมด ครั้นถามท่านก็โดนดุว่าไม่ใช่กิจที่จะต้องรู้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ต้องปฏิบัติอีกมาก ท่านเปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือกับไม้ในป่าทั้งหมด จึงไม่กล้าที่จะถามท่านอีก จะถามได้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเท่านั้น พอพูดจบท่านก็หยิบเอามาจากย่ามให้ฉันเป็นดังนี้อยู่เสมอมิได้ขาด ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจอยู่ตลอดมา ว่าทำไมข้าวตากแห้งของหลวงอาไม่รู้จักหมดสักที ท่านเอามาจากไหน ท่านมีคาถาอาคมอะไรหรือ
กลับมาเยี่ยมบ้าน
หลายปีที่สามเณรประเทือง เดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อน ก็ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็หลายครั้งเหมือนกัน ที่คิดอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่และญาติๆก็ยังไม่มีโอกาสสักครั้ง วันหนึ่งได้รับอนุญาตจากหลวงอาว่าถึงเวลาอันควรแล้วอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้แล้ว พอกลับมาถึงวัดหนองแขม ก็กราบลาพระอาจารย์อ่อนไปเยี่ยมบ้านทันที ได้พูดคุยสนทนาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในการออกธุดงค์เดินป่าที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อโยมทั้งสองได้ฟังแล้วก็เกิดสงสารห่วงใยอย่างจับใจ ขอร้องอ้อนวอนให้สามเณร ลูกชายลาสิกขากลับมาอยู่กับพ่อแม่ดีกว่า เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายในระหว่างอยู่ป่า ในตอนแรกก็เห็นด้วยกับความคิดของโยมพ่อโยมแม่ จึงตัดสินใจที่จะลาสิกขาอย่างแน่นอน ครั้นกลับมาได้ถึงวัดได้กราบเรียนให้หลวงอาทราบเรื่องเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้รับโอวาทธรรมจากหลวงอาว่า การปฏิบัติธรรมกรรมฐานเท่านั้น ที่จะได้กุศลแรงกล้าที่สุด ไม่เพียงแต่บุคคลผู้ปฏิบัติเท่านั้น แม้ผู้เป็นบิดามารดาชื่อว่าผู้ได้เป็นญาติพระศาสนาก็พลอยได้บุญกุศลไปด้วย ได้ฟังโอวาทธรรมดังนั้น ท่านก็เห็นด้วยแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยอมลาสิกขา ยังคงเดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อนต่อไปอีกหลายปี พระอาจารย์อ่อน เป็นพระที่นิยมศึกษาชอบแสวงหาความรู้และมีวิทยาคมแก่กล้า ทั้งชอบการปฏิบัติธรรมได้ถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมให้สามเณรประเทืองทุกอย่างอย่างเช่น การหุงสีผึ้ง วิชานะหน้าทอง เป็นต้น
ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์
พระอาจารย์อ่อน นับว่าเป็นพระที่เชี่ยวชาญเวทวิทยาคมมากทีเดียว และที่สำคัญยังมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเดิมอยู่เป็นประจำ เมื่อกลับจากเดินธุดงค์แล้ว หลวงอาอ่อน ได้นำสามเณรประเทือง เดินทางไปวัดหนองโพธิ์ ฝากฝังไว้เป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้ต้มน้ำร้อนน้ำชาอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อเดิมตลอดเวลา หลวงพ่อเดิมเรียกท่านว่า ?เณรจ้อน? เพราะท่านตัวเล็กกว่าสามเณรในวัดรุ่นเดียวกันทั้งหมด ทั้งยังเมตตาแนะนำสั่งสอนวิชาอาคมต่างๆ ให้อยู่เสมอ ในขณะที่อยู่รับใช้หลวงพ่อเดิมอยู่นั้น สามเณรประเทืองได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมอะไรบ้าง เราท่านคงไม่อาจจะทราบได้ แต่เท่าที่สอบถามศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อประเทือง ได้ความว่าท่านไม่เคยพูดว่า หลวงพ่อเดิมถ่ายทอดวิชาอะไรให้ เพียงแต่กล่าวอยู่เสมอว่า วิชาอาคม ที่หลวงพ่อเดิมสั่งสอนนั้นว่าวิชาอะไรก็ตามตะเข้มขลังได้ต้องอาศัยพลังจิตเป็นกำลังสำคัญ หากเราฝึกจิตสมบูรณ์แล้วก็สามารถปลุกเสกอะไรให้เกิดพลังเข้มขลังได้ จากพื้นฐานวิทยาคมที่หลวงพ่อเดิมแนะนำสั่งสอนให้กับสามเณรประเทืองนั้นท่านก็ยึดถือปฏิบัติเป็นแบบครูบาอาจารย์ มาจนกระทั่งเป็นหลวงพ่อประเทือง ถึงทุกวันนี้
อุปสมบทปฏิบัติธรรมในสำนักหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
เมื่ออกพรรษาแล้ว สามเณรประเทืองก็ตัดสินใจลาสิกขาถือเพศฆราวาสวิสัย ไปประกอบสัมมาชีพทำไร่ มันแกว อยู่ที่บ้านหนองกระทะ ตำบลช่องแค จังหวัดนครสวรรค์ ครั้งอายุได้ ๒๐ ปี ในพ.ศ.๒๔๙๑ ก็ปรารถนาจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พัทธสีมา วัดช่องแค นครสวรรค์ โดยมีท่านพระครูทอง วิสาโร เจ้าคณะอำเภอตาคลีในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์มีพระอาจารย์แบ๊ง วัดช่องแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาตี่ วัดเขาวงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในช่วงที่อยู่จำพรรษาวัดช่องแค เป็นห้วงเวลาเดียวกัน กับหลวงพ่อพรหม ยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสครองวัดนั้นอยู่ นับว่าเป็นบุญโชคของท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน สรรพวิทยาคมในสำนักหลวงพ่อพรหมแต่เป็นที่น่าเสียดาย ว่า ท่านได้ครองสมณเพศอยู่ได้เพียงพรรษาเดียว ก็จำต้องลาสิกขาเพราะถูกกฎหมายเกณฑ์ทหาร ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ที่เขาน้อย จังหวัดลพบุรี อยู่ได้ ๒ ปีเศษ แล้วสมัครเป็นสารวัตรทหารอยู่ที่ลพบุรี ครั้นเบื่อหน่ายอาชีพราชการ ก็ลาออกมาทำงานชลประทานซีเมนต์อยู่ช่องแค นครสวรรค์ หลังจากใช้ชีวิตฆราวาสเพศวิสัยอยู่ ๘-๙ ปี ก็เบื่อหน่ายปรารถนาจะบวชอีกสักครั้งซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ ๒๙ ปี พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษไปด้วยก็ตัดสินใจอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโนทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับสมณฉายาว่า อติกฺกนฺโต แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง (หลวงพ่อเล็กรูปนี้เป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางเ**้ย)
ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม

เนื่องจากหลวงพ่อประเทืองท่านมีอุปนิสัยชอบความสงบวิเวกใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียนมาแต่เดิม ครั้นได้กลับมาบวชใหม่อีกครั้ง ก็มีความตั้งใจที่วัดโพธิ์ทอง พอออกพรรษาแล้วได้เล็งเห็นว่าวัดไม่เป็นที่สงบเท่าที่ควร เพราะท่านไม่ชอบที่จะระคนด้วยหมู่คณะจึงปลีกตนออกปฏิบัติกราบลาพระอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์ แสวงหาความรู้กับครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาสรรพวิชาเพิ่มเติม หลวงพ่อประเทือง ได้เดินธุดงค์ไปตามเขาทั่วภาคตะวันออกเฉียงจรดไปถึงถ้ำนาแก นครพนม ได้พบกับพระป่านักปฏิบัติหลายรูปทั้งได้ขอเล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับอาจารย์บุญลือเป็นฆราวาสชาวเขมร ผู้เก่งกล้าในด้านไสยศาสตร์ ท่านก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาถอนคุณไสยต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้วเดินธุดงค์ต่อไปอีก หลังจากนั้นเดินธุดงค์กลับมานมัสการรอยพระพุทธบาท สระบุรี ซึ่งในช่วงนั้นเอง ได้เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นว่าเล่น ชาวบ้านก็ปลื้มในที่ได้พบพระธุดงค์ ได้ขอร้องให้ท่านโปรดเมตตาช่วยอนุเคราะห์รักษาโรค ท่านก็ยินดีอยู่ช่วยรักษาให้โดยใช้สมุนไพรตามที่ได้ศึกษามาประกอบมาปรุงยาต้มให้ชาวบ้านกินกันจนหายเป็นปกติ ยังความปลื้มปิติเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของคนในหมู่บ้านกันทั่วสืบสายพุทธาคม
ความเป็นหนึ่งในเวทวิทยาคมของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ในปัจจุบันย่อมเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษยานุศิษย์และผู้นิยมวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลหรือเครื่องรางวัลขลังของท่านนั้น ที่สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อหรือคณะศิษย์สร้างถวายก็ตาม โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสกล้วนมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับเชื่อถือในความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์

ปาฏิหาริย์ล้ำเลิศมากมาย
การกล่าวได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ก็เพราะท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มากไปด้วยครูบาอาจารย์ แสวงหาความรู้เล่าเรียนศึกษาพุทธาคมอย่างไม่รู้จบ และเหตุที่ครูบาอาจารย์ของท่านก็ล้วนแต่เลื่องลือกิตติศัพท์เป็นที่เคารพของสาธุชนทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐ ปี ที่ออกเดินธุดงค์ ก็ได้ศึกษาสรรพวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ต่างๆ มามากมายเท่าที่ได้กราบนมัสการเรียนถามว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใด บ้างที่ท่านเคยเป็นศิษย์ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมซึ่งท่านได้ลำดับครูบาอาจารย์ดังนี้
๑. พระอาจารย์อ่อน วัดหนองแขม นครสวรรค์ (มีศักดิ์เป็นอา ได้ศึกษาตั้งแต่เป็น สามเณร)

๒. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ (เมื่อครั้ง ไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้เป็นสามเณรที่วัดหนองโพธิ์)

๓. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์ (ศึกษาอยู่ได้ 1 พรรษา ตอนบวชครั้งแรก)

๔. พระอาจารย์เล็ก วัดคลองเม่า ลพบุรี

๕. หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง นครสวรรค์ (เมื่อครั้งอุปสมบทอยู่วัดโพธิ์ทอง ซึ่งหลวงพ่อเล็กรูปนี้ เป็นศิษย์ที่สืบทอดพุทธาคมมา จากหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย(วัดคล่องด่าน)

๖. อาจารย์บุญลือ (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นชาวเขมร (เมื่อคราวออกธุดงค์)



อิทธิปาฏิหาริย์

ประสบการณ์วัตถุมงคลและ อิทธิปาฏิหาริย์

เมื่อพูดถึงเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์หรือที่เรียกกันอย่างสามัญว่าอภินิหาร เป็นเรื่องเหนือสามัญวิสัยขอบเขตกว้างขวาง ยังพลังอำนาจลึกเร้นมหัศจรรย์ ยากอรรถาธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อถือ เพราะคิดว่า เป็นเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร สำหรับผู้ที่เชื่อ รู้เห็นประจักษ์ หลักฐานเกิดประสบการณ์กับตนเองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างดีมาแล้วพระพุทธเจ้า ทรงมีอิทธิปาฏิหาริย์แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ ดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎกหรือในอรรกถา เช่น ยมกปาฏิหาริย์ แก้คำท้าของพวกเดียรถีเป็นต้น แม้พระอรหันตสาวกก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ดังปรากฏในบาลีหรืออรรถกถาอยู่มากมาย ฉะนั้นความเชื่อในเรื่องนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความเชื่อที่สืบทอดมาถึงความเชื่อศรัทธาพระเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลในยุคปัจจุบันร่ายยาวมาพอสมควรก็เพื่อเป็นการปูทางเข้าสู่ประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ที่คณะศิษยานุศิษย์เคารพนับถือ เกิดประสบการณ์ในรูปแบบ ต่างๆ บันทึกเรื่องให้เกิดอรรถสาระมากยิ่งขึ้นอภินิหารรูปหล่อเหมือนพุทธกวัก รุ่น ๑เรื่องแรก เป็นประสบการณ์จากทหารหาญ มีนายทหารนอกราชการ พันโทบัณฑิต บำรุงกูร สังกัดกองพันทหารที่ ๓ ค่ายพ่อขุนผาเมือง ได้ขึ้นไปสู้รบกับผู้ก่อการร้ายที่อำเภอบ้านร่มเกล้า พิษณุโลก เมื่อปี ๒๕๓๑ ได้เกิดปะทะกับผู้ก่อการร้าย พันโทบัณฑิต ถูกระดมยิงด้วยปืนเล็กและปืนใหญ่เป็นเวลานานจนทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มทับขาทั้งสองข้าง ถึงขาจะไม่ขาด แต่กระดูกก็หัก กระนั้นกระสุนก็หาได้ถูกตัวไม่ เมื่อสงบลงเพื่อนๆ ก็ช่วยกันนำมารักษาหายเป็นปกติ ภายหลังได้รับเลื่อนยศจากเดิมสิบเอกเป็นพันโท ดังกล่าวอีกคราวหนึ่ง คนเดียวกันนี้เอง เมื่อลงมาอยู่ข้างล่างได้ขับรถจากเพชรบูรณ์ไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังถิ่นเดิมจังหวัดขอนแก่น ไปประสบอุบัติเหตุที่อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์เหตุเกิดจากการหลบรถสิบล้อ ทำให้เสียหลัดตกลงเหว แต่เดชะบุญรถไปค้างอยู่กับต้นไม้ สภาพรถพังยับเยิน ตัวพันโทบัณฑิต ไม่มีแม้แต่รอยแผล ทั้งสองคราวนี้ ทราบว่าท่านมีของดีเป็นรูปหล่อเหมือนรุ่นแรกพุทธกลักของหลวงพ่อประเทือง ที่สร้างเมื่อปี ๒๕๒๔ ที่ฐานได้ประจุด้วยเทียนชัยและเส้นเกศาของหลวงพ่อไว้ด้วยเรื่องที่ ๒ จ่าสิบเอกสุรัตน์สังกัดกองพันทหารม้าที่ ๒๖ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ในขณะที่นั่งตัดผมอยู่ในร้านตลาดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ช่างตัดผมกำลังกันผมอยู่ที่ต้นคอ และเป็นเวลาเดียวกันที่เพื่อนของจ่าเดินผ่านมาหน้าร้าน ร้องตะโกนเรียก จ่าสุรัตน์ก็หันขวับไปตามเสียงเรียกทันที ก็เป็นขณะเดียวกันที่ช่างปักคมมีดลงที่ใต้คออย่างแรง ใจหายวาบ คงเย็บหลายเข็ม พอพิจารณาดูแล้ว เหมือนกับไม่แน่ใจตนเองไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วนนายช่างถามว่ามีของอะไรดี แม้แต่ตัวจ่าก็คิดเช่นเดียวกัน พอตั้งสติได้ก็ตอบไปว่ามีรูปหล่อเหมือนรุ่นแรกพุทธกวักของหลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาภายในค่ายอยู่ปีกว่าประสบการณ์เหรียญรุ่นแจกทหาร ท.บ.๑เรื่องที่ ๓ จ่าสิบเอกวารี ช่อประทีป สังกัดกองร้อยสนับสนุนช่วย ค่ายขุนผาเมือง ได้ขับรถเก๋งส่วนบุคคลออกจากค่ายไปทำธุระที่ตลาดเมืองเพชรบูรณ์ พอไปถึงหน้าโรงพยาบาลเพชรรัตน์ ก็มีรถจักรยานยนต์ขับมาด้วยความเร็วตัดหน้ารถ ยังไม่ทันที่จะระวังตัวก็หักหลบ รถพลิกคว่ำกลางถนน ๓ ตลบ แล้วพลัดตกลงข้างทาง (อยู่ในช่วงฤดูฝน) น้ำข้างๆ ถนนก็เจิ่งนองเต็มไปหมด ปรากฏว่าทั้งรถทั้งคนจมลงไปในเลนน้ำ พอเจ้าตัวตั้งสติสัมปชัญญะได้ก็คิดหาทางออกอยู่นานก็ออกไม่ได้ ก็นึกถึงหลวงพ่อประเทืองขึ้นมาได้มือไปสัมผัสกับกระจกรถ กดลงมาก็เปิดไม่ได้อีก จึงตัดสินใจกระทุ้งเอาตัวรอดออกมาได้ แล้วรีบขึ้นมายืนอยู่บนถนนจากการเปิดเผยของ จ่าสิบเอกวารี ว่ามีเหรียญรุ่นแจกทหาร (ท.บ.๑) ลักษณะเป็นเหรียญกลม มีโค๊ดเลข ๕ และเลข ๑๑๕ ซึ่งความเป็นมาของเหรียญรุ่นนี้
ได้มีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงพ่อ ว่าเหตุใดจึงมีเลข ๕ ตัวเดียว บางเหรียญก็มีเลข ๑ อยู่ถึง ๒ ตัว และเลข หลวงพ่อบอกว่า วันที่ ๑ เดือน ๑ ปี ๕ หมายถึง วันเดือนปีเกิดของท่านคือเลข ๑ เป็นวันอาทิตย์เดือน ๑เป็นเดือนอ้าย เลข ๕ เป็นปีมะโรง ทำวันเสาร์ห้า ปี๒๕๓๗ รุ่นนี้หลวงพ่อเรียกว่า รุ่น ท.บ.๑ ส่วนด้านหลัง เป็นรูปสัญลักษณ์กงจักร ว่ากันว่า เหรียญรุ่นนี้มีประสบการณ์เหลือหลาย อย่างเช่น มีนายพันโท ทางจังหวัดกาญจนบุรี ที่ลาดหญ้า เคยอาราธนาเป็นหลังเป้าให้ทหาร ยิงเป้า ๕ คน ยิงไปที่เป้าที่มีเหรียญอยู่ปรากฏว่าทั้งห้ากระบอกไม่ได้ยินเสียงปืนสักนัดเลยเรื่องที่ ๔ เหรียญรุ่นเดียวกันนี้เองจ่าสิบเอกไพฑูรย์ สวนสิริ สังกัดกองพันทหารม้าที่ ๑๓ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ค่ายขุนผาเมือง ซึ่งค่ายขุนผาเมืองนี้ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อประเทืองแทบทั้งนั้น เคยไปร่วมรบกันมาที่จังหวัดน่าน ยึดเยื้อมาถึงอุตรดิตถ์ ๓ หมู่บ้าน แล้วที่เขาค้า บ้านร่มเกล้า อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ตาก แม่สอด ท่าสองยางทหารของกองพันม้าที่ ๑๓ ค่ายขุนผาเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ แต่เดิมขึ้นตรงอยู่กับกองพันม้าที่ ๑ ที่ย้ายมาจากกรุงเทพมหานคร ที่สนามเป้า ไปอยู่ที่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ตั้งค่ายขึ้นใหม่ เป็นชื่อค่ายพ่อขุนผาเมืองจ.ส.อ.ไพฑูรย์ พร้อมด้วยครอบครัว ได้เดินทางไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่จังหวัดขอนแก่น ระหว่างทางเห็นว่าถนนว่างก็ขับด้วยความเร็วประมาณ ๑๒๐-๑๓๐ คุยกับภรรยาไปด้วยและลูกๆ นั่งอยู่ด้านหลัง คุยกันมาเพลินพอลงจากภูเขตน้ำหนาวไปเป็นจังหวัดขอนแก่น เหลืออีก ๓๐ กิโลเมตร ขณะที่กำลังคุยกันเพลินนั้น ไม่ทันมองว่าข้างหน้ามีรถสิบล้อ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัดสินใจหักหลบข้างทาง แม็กล้อทางซ้ายล้อหน้าหลุดทำให้รถพลิกลงข้างทาง สูงประมาณ ๕๐ เมตร สภาพรถพัง กระจกก็แตกหมด ส่วนลูกเมียก็หลุดออกมาแต่ก็ไม่เป็นไร สำหรับตัวเองติดอยู่กับเข็มขัดนิรภัย กระจกหน้าก็แตก หลังคารถยุบมีรถปอเต็กตึ้งมากันหลายคัน ลงไปดูคิดว่ามีคนตายแต่ก็ผิดหวัง พอออกมาจากรถได้ก็บอกว่า รถผมเองผมเป็นคนขับ ตัวจ่าก็ไม่ได้รับอันตรายได้ๆ เลย และเล่าว่าในรถมีเหรียญเสาร์ห้า ของหลวงพ่อประเทือง รุ่น ท.บ.๑ แขวนอยู่หน้ารถเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ในระหว่างนั้นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายพอดู ปรากฏว่าเหรียญก็หายไปในช่วงนั้นด้วย ต้องกลับไปกราบเรียนหลวงพ่อประเทือง ที่วัดหนองย่างทอยสุดยอดปาฏิหาริย์ตะกรุด ๙ ชั้นในเรื่องประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อประเทืองใช่ว่าจะมีแต่เพียงเหรียญ รูปหล่อ แม้แต่ตะกรุดที่ท่านสร้างขึ้น ก็มีประสบการณ์มากมาย ลูกศิษย์บางคนไปมีประสบการณ์มาก็ไม่กล้าเปิดเผยด้วยความละอาย ก็เพราะไปโดนรุมมาก็มีแต่ก็รอดปลอดภัยมาได้เสมอตะกรุดของท่านนับว่าเยี่ยมยุทธเป็นของดีของแท้ที่ทำขึ้นให้กับลูกศิษย์เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว และท่านก็บอกสอนเสมอว่า ไม่ให้เอาไปทดลอง บางคนนึกคึกคะนอง เมื่อได้ไปแล้วก็อยากทดสอบความขลังดู คนเราส่วนมาก เมื่อได้ของดีไปแล้วก็อยากพิสูจน์ว่าดีจริงสมคำเล่าลือหรือไม่ มิเช่นนั้นแล้วรับรองว่านอนไม่เป็นสุข เป็นเรื่องที่คาใจไม่รู้จบ สำหรับเรื่องนี้หลวงพ่อเคยย้ำเตือนสติไว้เสมอว่า ...การทดสอบของดีด้วยการยิงแทงหรือฟันแม้เป็นเรื่องเสี่ยงไม่น้อย แต่ก็เป็นที่พอใจของคนที่อยากพิสูจน์ จึงห้ามเขาไม่ได้ กระนั้นถ้าจะพิสูจน์จริงๆ แล้วทีสองทีก็พอแล้ว อย่าให้ถึงกับเดือดร้อนตัวเองอย่างเช่นรายนี้เหตุเกิดที่กรุงเทพฯ ได้มีพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งที่รับเหมาเศษวัสดุเก่าๆ ได้ไปเช่าตะกรุดเสาร์ห้า ๙ ชั้น ที่ปลุกเสกเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๗ ที่วัดสุทัศน์ฯ และได้ทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวอีกครั้งที่วัดหนองย่างทอย นำไปทดลองผูกไว้กับคอไก่ แล้วยิงด้วยปืนขนาด .๒๒ จ่อยิง ๓ นัดไม่ออกสักนัด ดูเหมือนว่าตนเองยังไม่มั่นใจ ก็ลองยิงอีกที ลูกระสุนคาอยู่ที่ปลายกระบอก แล้วห้อยตกลงมาไม่ถึงตัวไก่ มีคนไปยืนดูกันมากมาย ต่างก็อัศจรรย์ใจไปตามๆ กัน
สำหรับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อประเทืองโดยตรงนั้น ก็เคยมีมาแล้วเช่นกันเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคราวที่หลวงพ่อมารับเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองย่างทอย ซึ่งในปีนั้นที่วัดถ้ำบุณนาคนครสวรรค์ ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้น ในสมัยก่อนงานปลุกเสกใหญ่ๆ หายากนานๆ จะมีสักครั้ง หลวงพ่อคิดจะเอาของไปเข้าพิธีปลุกเสกครั้งนี้ด้วย เมื่อท่านสร้างตะกรุดได้ประมาณ ๑ ลังเบียร์ เพื่อเตรียมเข้าร่วมพิธีที่วัดถ้ำบุณนาค ก็ได้จ้างรถขนตะกรุด เมื่อไปถึงวัดซึ่งทางวัดได้ตั้งกำหนดราคาค่าของกิโลกรัมละ ๓๐ บาท ตะกรุดตั้ง ๑ ลังเบียร์ คงไม่มีเงินให้เขา หลวงพ่อจึงไปขอร้องกรรมการวัดให้นำตะกรุดเข้าร่วมพิธีด้วย แต่กรรมการไม่ยอมจะต้องทำตามระเบียบที่วางไว้ แล้วท่านไปขอร้องคณะกรรมการอธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์ ก็ได้รับการปฏิเสธอีก จึงไปขอร้องเจ้าอาวาสให้ช่วยพูด คณะกรรมการก็ยังไม่ยอมหลวงพ่อเห็นว่าไม่เป็นผล เข้าไปหายามที่คุมงานแล้วบอกกับยามให้ยิงตะกรุดที่หลวงพ่อทำมาซะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่ให้เข้าร่วมพิธีแล้วนี่ ยิงทิ้งมันไปเลย ผู้คนที่มาในงานต่างมายืนดูกันล้นหลาม ยามได้เล็งปืนไปที่ลังเบียร์แล้วยิงใส่ ๓ นัด ไม่ได้ยินเสียงปืนดังสักนัดเลย คนดูอัศจรรย์ใจไปตามๆ กัน บ้างก็พูดว่า เหลือเชื่อเกิดมาพึ่งจะเคยเห็นของจริงกันนี้แหละ ก่อนกลับวัดหลวงพ่อได้ตั้งปณิธานไว้ว่า ของทุกอย่างจะปลุกเสกเดี่ยว ไม่ขอให้ใครช่วยปลุกเสกเหมือนอย่างที่เขาพูดกันว่าชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกินฤทธานุภาพดาบฟ้าฟื้นประสบการณ์ที่เกี่ยวกับวัตถุมงคลโดยตรงแต่เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง อย่างเช่น ดาบฟ้าฟื้นของหลวงพ่อ ซึ่งดาบฟ้าฟื้นนี้ เป็นดาบที่หลวงพ่อลงจารอักขระไว้และไม่ใช่เป็นของเล่น ท่านไม่ให้ใครลอง มีไว้สำหรับป้องกันตัวป้องกันภูตผีปีศาจ แก้คุณไสยก็ได้เมื่อหลวงพ่อจารอักขระเสร็จ ก็พูดกับลูกศิษย์ที่เป็นทหารว่า ดาบนี้เมื่อขอบารมีแล้ว สามารถตัดรุ้งได้ (มายถึงรุ้งกินน้ำที่อยู่บนท้องฟ้า) รุ้งก็จะขาด แต่อย่าไปทำนะรุ้งกินน้ำก็มีชีวิต มันบาปนะลูกเรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดทุ่งเรไร เพชรบูรณ์ ซึ่งทางด้านหลังจะมีสำนักแม่ชีไทยที่หลวงพ่อสร้างให้ความอุปถัมภ์และเป็นวัดเก่าแก่มีต้นไม้ใหญ่ เช่นต้นมะม่วง ต้นยาง ต้นสักขึ้นเต็มไปหมดวันนั้น ไม่รู้เป็นอย่างไร จ่าบุญมาก ทหารค่ายขุนผาเมือง นึกครึ้มๆ ขึ้นมา พอหลวงพ่อเข้าไปในกุฏิ ก็หยิบเอาดาบขึ้นมาอาราธนาขอบารมี แล้วฟันไปในอากาศ ซึ่งในขณะนั้นเมฆฝนก็ไม่ได้ตั้งเค้า เพื่อจะให้กิ่งมะม่วงซึ่งเป็นมะม่วงป่า ขนาด ๒ คนโอบที่มีกิ่งใหญ่ยื่นออกมา ครั้นฟันไปในอากาศ ปรากฏว่ากิ่งมะม่วงขาดครืนลงมา หลวงพ่อกำลังสวดมนต์อยู่ในกุฏิ ได้ยินเสียงครืน ก็ออกมาถามจ่าบุญมากๆ ก็ตอบหลวงพ่อไปว่าลองขอบารมี แล้วฟันไปในอากาศ กิ่งมะม่วงขนาดใหญ่ก็ขาดดังครืนลงมา

ย้อนกลับมาถึงเรื่องตะกรุด ๙ ชั้นอีกทีจ่าบ๊อง สังกัดทหารค่ายเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก เหตุเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๒ จ่าบ๊อง ได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากค่ายไปที่อำเภอเมือง ถูกรถบรรทุกลากเอาไปทั้งรถทั้งคนระยะทางเกือบ ๑๘ เมตร สภาพรถพังยับเยินใช้การไม่ได้ แต่ตัวจ่าบ๊อง สังกัด ร.บ.พัน ๘ พิษณุโลก ไม่มีแม้แต่รอยแผล ถามว่ามีอะไรดี บอกว่ามีตะกรุด ๙ ชั้น ของหลวงพ่อประเทืองคาดเอวอยู่เพียงดอกเดียวสำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับตะกรุด ๙ ชั้น ซึ่งในแต่ ละชั้นนั้น หลวงพ่อได้ลงยันต์จารอักขระไว้ครบทุกแผ่น ศึกษาได้จากเรื่องประวัติการสร้างวัตถุมงคล ส่วนข้อห้ามเกี่ยวกับตะกรุดนั้น ห้ามนำตะกรุดไปร่วมประเวณีกับสตรีเพศ ถ้าผิดสิ่งนี้แล้วแก้ไม่หาย ใครที่รู้ว่ามีของดีอยู่กับตัว ก็จงปฏิบัติให้ถูกต้องอยู่ในศีลธรรมตามครูบาอาจารย์ อย่าออกนอกลู่ทาง ของดีจะได้คุ้มคนดีตลอดไปเรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ประสบการวัตถุมงคลของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต เท่าที่นำเสนอทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีประสบการณ์วัตถุมงคลรุ่นอื่นๆ อีกมากทั้งที่ได้รับการเปิดเผยในนิตยสารพระเครื่องต่างๆ ก็ต้องขอขอบคุณคณะศิษยานุศิษย์และผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง ดังเรื่องที่กล่าวถึงเบื้องต้น
ผู้เข้าชม
2090 ครั้ง
ราคา
โชว์
สถานะ
โชว์พระ
โดย
ชื่อร้าน
พลศรีทองพระเครื่อง( บู เชียงราย )
ร้านค้า
โทรศัพท์
ไอดีไลน์
busoftware52
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
282-2-248xx-x

ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
kaew กจ.ว.ศิลป์สยามvanglannaponsrithong2ponsrithongยุ้ย พลานุภาพ
เทพจิระศักดา พระเครื่องsomphopTUI789mosnarokมนต์เมืองจันท์
TotoTatoเจริญสุขพีพีพระสมเด็จnatthanetLeksoi8อ้วนโนนสูง
ภูมิ IRหมี คุณพระช่วยNithipornแมวดำ99ErawanPutput
tangmoอาร์ตกำแพงเพชรจิ๊บพุทธะมงคลศิษย์บูรพาเปียโนjazzsiam amulet

ผู้เข้าชมขณะนี้ 644 คน

เพิ่มข้อมูล

เหรียญตัดรุ้ง หลวงพ่อประเทือง (วัดเทพประทานพร) อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ปี 29




  ส่งข้อความ



ชื่อพระเครื่อง
เหรียญตัดรุ้ง หลวงพ่อประเทือง (วัดเทพประทานพร) อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ปี 29
รายละเอียด
หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต พระครูวิทิตพัชราจาร วัดหนองย่างทอย
(วัดเทพประทานพร) อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ (วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ปีมะโรง) เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๕ คน ซึ่งเป็นชาย ๒ คน หญิง ๓ คน ของนายทำ นางมาก ยืนยง ณ บ้านคลองเม่า หมู่ที่ ๕ ตำบลโคนสะลุด อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
เริ่มการศึกษา

เมื่อเจริญวัยสมควรได้รับการศึกษาได้แล้ว บิดามารดานำไปเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดคลองเม่า ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น ครั้นจบการศึกษาแล้ว แม้จะมีความตั้งใจปรารถนาใคร่จะเล่าเรียนต่อก็ไม่มีโอกาสเนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจน ประกอบอาชีพกสิกรรม และไม่เอื้ออำนวยโดยประการทั้งปวงจึงอยู่ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพเหมือนลูกหลานตามชนบททั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อบุพพการีที่ได้โอบอุ้มอบรมเลี้ยงดู สั่งสอนมาด้วยความรัก ความเมตตาเอื้ออาทร และอีกประการหนึ่งก็เห็นว่าท่านเป็นบุตรคนสุดท้องที่พ่อแม่หวังจะได้พึ่งในบั้นปลายแห่งชีวิตต่อไปด้วยอพยพครอบครัว
ในขณะที่อายุได้ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๔๘๕ จังหวัดลพบุรีได้ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นโดยน้ำได้ท่วมหนักเป็นประวัติการณ์ถึงหลังคาบ้านไปทั่วทุกหมู่บ้าน ข้าวกล้านาล่ม เสียหายอย่างย่อยยับ แรงงานจากแรงคนที่ได้ลงแรงไป ก็มาสิ้นสลายไปกับสายน้ำอันหฤโหดอย่างหมดสิ้น ปลายทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง หมดหนทางที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว บิดามารดา จึงใคร่ครวญตัดสินใจอพยพครอบครัวทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องอันเป็นถิ่นกำเนิด โดยย้ายไปอยู่ที่ตำบล เขาช่องแค จังหวัดนครสวรรค์เพื่อเริ่มต้นชีวิต ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า
สู่ร่มกาสาวพัสตร์

เมื่ออพยพครอบครัวมาอยู่นครสวรรค์ ได้ประกอบสัมมาชีพ ยกฐานะครอบครัวมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง บิดามารดาได้ปรารถนาที่จะให้ท่านได้บรรพชาเป็นสามาเณร เพราะเล็งเห็นว่า การบวชเณรเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมวินัย ทั้งเป็นการผูกญาติสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นพระเพณีนิยมไปด้วย ซึ่งท่านเองเมื่อรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่ขัดข้องยินดีปฏิบัติตามความประสงค์ของบุพพการีทุกประการ
บิดามารดา ได้นำไปบรรพชาที่วัดหนองแขม ต.ทุ่งทะเล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ กับพระอาจารย์อ่อน เจ้าอาวาสวัดหนองแขม ผู้มีศักดิ์เป็นอาของท่าน ให้ช่วยดูแลอบรมสั่งสอน พระอาจารย์อ่อนรูปนี้เป็นพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน ทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานและแก่กล้าสรรพวิชาอาคมต่างๆอีกด้วย ครั้นบรรพชาแล้วในพรรษาแรกๆ ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ และวิชาอาคมกับหลวงอาพระอาจารย์อ่อน จนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงอาคิดจะทดสอบหลานจึงคิดทดสอบความอดทนและวิชาที่สั่งสอนให้ แล้วออกอุบายที่จะพาไปเที่ยวโดยให้เตรียมข้าวของเท่าที่จำเป็นสำหรับในการเดินธุดงค์ออกธุดงค์กับพระอาจารย์อ่อน ในปีนั้น เมื่ออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์อ่อน ได้นำสามเณรประเทืองเดินธุดงค์ไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี

แม้ว่ายังเป็นสามเณรอายุน้อยนิด ก็มีความอดทน แบกกลด ถือกรรมฐานกับพระอาจารย์อ่อนไปด้วย การเดินป่าในสมัยนั้น ประสบการความยุ่งยากลำบากเหลือเข็ญ ยังไม่มีรถยนต์ เป็นพาหนะเหมือนสมัยนี้ อีกทั้งตามป่าเขาลำเนาไพรยังชุกชุมไปด้วยไข้ป่า สัตว์ร้ายนานาชนิด เดินขึ้นเขาลงห้วยหาบ้านผู้คนก็ยากเย็นเต็มที แม้ว่าในตอนออกเดินทางจากวัดไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง แต่พอนานเข้าเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้สัมผัสกับความอดอยาก ลำบากในป่าเขา ก็เกิดอาการท้อแม้ใจขึ้นมาเหมือนกัน บางครั้งคิดอยากจะกลับวัดกลับบ้าน หลวงอาก็ปลอบโยนให้กำลังในอยู่เสมอๆ จะทำอย่างไรได้ เมื่อตัดสินในแล้วก็ต้องสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด สำหรับการเดินธุดงค์นั้น พระอาจารย์อ่อนมีกฎอยู่ว่าห้ามถามห้ามพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นและให้เฉยๆ ไว้ เดินตามหลวงอาไปอย่างเดียว พอถึงเวลาปักกลด หลวงอาก็ปักให้ (กลดสมัยนั้น คล้ายกับมุ้ง ๔ สาย) พอปักกลดเสร็จก็แยกไปปักอีกที่หนึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐วา ตกกลางคืนก็ร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องเสียงดัง กลัวหลวงอาดุเอา ทำให้เกิดความกลัว คิดไปต่างๆ จิตใจก็ไม่สงบ ยิ่งได้ยินเสียงเสือร้อง ก็ร้องไห้ตามเสือไปด้วย คิดจะกลับวัดอย่างเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้น พอรุ่งเช้าอาหารบิณฑบาตก็ไม่มีฉัน เพราะอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน จนบางครั้งต้องอาศัยข้าวตากแห้งที่เตรียมมาขบฉัน พอประทังชีวิตไปวันๆ หนึ่งก็เคยมี ครั้นรุ่งเช้าหลวงอาชวนออกเดินบิณฑบาต ก็คิดไปว่าป่าทั้งป่าจะไปบิณฑบาตที่ไหนกัน มองไปข้างไหนก็เห็นแต่ป่าทั้งนั้น

แต่ก็ไม่กล้าถาม โดยหลวงอาสั่งว่า ทำอะไรก็ให้ทำตาม พอเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ หลวงอาเปิดบาตรไว้สักครู่แล้วก็ปิดบาตร เดินมาที่อีกต้นหนึ่งก็ทำเหมือนเดิมอีก ก็ปฏิบัติตามเหมือนหลวงอาทุกอย่าง ถึงจะสงสัยก็ไม่กล้าถามอยู่ดี สามเณรประเทือง คิดอยู่ในใจว่า หลวงอาทำอะไรแปลกๆ หรือท่านจะรู้เห็นอะไรที่เราไม่รู้ก็เป็นได้ ครั้นกลับมาถึงที่พักก็เปิดบาตรดู ว่ามีอะไรอยู่บ้างเห็นแต่ความว่างเปล่าแต่ก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดีว่าท่านทำเพื่ออะไร แล้วหลวงอาก็สั่งให้เอาน้ำล้างบาตรนั้นมาดื่มกิน พอดื่มแล้วเหมือนกับว่า รู้สึกอิ่มอย่างแปลกประหลาดคล้ายกับว่าได้ฉันข้าวอย่างนั้นแหล่ะ สามารถอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกหิวกระหายแต่อย่างใดเลย เมื่อปฏิบัติอยู่ป่านานวันเข้า อาหารที่เตรียมมาก็หมดไปโดยปริยาย สิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อาหารของหลวงอาไม่รู้จักหมด ครั้นถามท่านก็โดนดุว่าไม่ใช่กิจที่จะต้องรู้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ต้องปฏิบัติอีกมาก ท่านเปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือกับไม้ในป่าทั้งหมด จึงไม่กล้าที่จะถามท่านอีก จะถามได้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเท่านั้น พอพูดจบท่านก็หยิบเอามาจากย่ามให้ฉันเป็นดังนี้อยู่เสมอมิได้ขาด ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจอยู่ตลอดมา ว่าทำไมข้าวตากแห้งของหลวงอาไม่รู้จักหมดสักที ท่านเอามาจากไหน ท่านมีคาถาอาคมอะไรหรือ
กลับมาเยี่ยมบ้าน
หลายปีที่สามเณรประเทือง เดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อน ก็ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็หลายครั้งเหมือนกัน ที่คิดอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่และญาติๆก็ยังไม่มีโอกาสสักครั้ง วันหนึ่งได้รับอนุญาตจากหลวงอาว่าถึงเวลาอันควรแล้วอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้แล้ว พอกลับมาถึงวัดหนองแขม ก็กราบลาพระอาจารย์อ่อนไปเยี่ยมบ้านทันที ได้พูดคุยสนทนาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในการออกธุดงค์เดินป่าที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อโยมทั้งสองได้ฟังแล้วก็เกิดสงสารห่วงใยอย่างจับใจ ขอร้องอ้อนวอนให้สามเณร ลูกชายลาสิกขากลับมาอยู่กับพ่อแม่ดีกว่า เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายในระหว่างอยู่ป่า ในตอนแรกก็เห็นด้วยกับความคิดของโยมพ่อโยมแม่ จึงตัดสินใจที่จะลาสิกขาอย่างแน่นอน ครั้นกลับมาได้ถึงวัดได้กราบเรียนให้หลวงอาทราบเรื่องเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้รับโอวาทธรรมจากหลวงอาว่า การปฏิบัติธรรมกรรมฐานเท่านั้น ที่จะได้กุศลแรงกล้าที่สุด ไม่เพียงแต่บุคคลผู้ปฏิบัติเท่านั้น แม้ผู้เป็นบิดามารดาชื่อว่าผู้ได้เป็นญาติพระศาสนาก็พลอยได้บุญกุศลไปด้วย ได้ฟังโอวาทธรรมดังนั้น ท่านก็เห็นด้วยแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยอมลาสิกขา ยังคงเดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อนต่อไปอีกหลายปี พระอาจารย์อ่อน เป็นพระที่นิยมศึกษาชอบแสวงหาความรู้และมีวิทยาคมแก่กล้า ทั้งชอบการปฏิบัติธรรมได้ถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมให้สามเณรประเทืองทุกอย่างอย่างเช่น การหุงสีผึ้ง วิชานะหน้าทอง เป็นต้น
ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์
พระอาจารย์อ่อน นับว่าเป็นพระที่เชี่ยวชาญเวทวิทยาคมมากทีเดียว และที่สำคัญยังมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเดิมอยู่เป็นประจำ เมื่อกลับจากเดินธุดงค์แล้ว หลวงอาอ่อน ได้นำสามเณรประเทือง เดินทางไปวัดหนองโพธิ์ ฝากฝังไว้เป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้ต้มน้ำร้อนน้ำชาอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อเดิมตลอดเวลา หลวงพ่อเดิมเรียกท่านว่า ?เณรจ้อน? เพราะท่านตัวเล็กกว่าสามเณรในวัดรุ่นเดียวกันทั้งหมด ทั้งยังเมตตาแนะนำสั่งสอนวิชาอาคมต่างๆ ให้อยู่เสมอ ในขณะที่อยู่รับใช้หลวงพ่อเดิมอยู่นั้น สามเณรประเทืองได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมอะไรบ้าง เราท่านคงไม่อาจจะทราบได้ แต่เท่าที่สอบถามศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อประเทือง ได้ความว่าท่านไม่เคยพูดว่า หลวงพ่อเดิมถ่ายทอดวิชาอะไรให้ เพียงแต่กล่าวอยู่เสมอว่า วิชาอาคม ที่หลวงพ่อเดิมสั่งสอนนั้นว่าวิชาอะไรก็ตามตะเข้มขลังได้ต้องอาศัยพลังจิตเป็นกำลังสำคัญ หากเราฝึกจิตสมบูรณ์แล้วก็สามารถปลุกเสกอะไรให้เกิดพลังเข้มขลังได้ จากพื้นฐานวิทยาคมที่หลวงพ่อเดิมแนะนำสั่งสอนให้กับสามเณรประเทืองนั้นท่านก็ยึดถือปฏิบัติเป็นแบบครูบาอาจารย์ มาจนกระทั่งเป็นหลวงพ่อประเทือง ถึงทุกวันนี้
อุปสมบทปฏิบัติธรรมในสำนักหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
เมื่ออกพรรษาแล้ว สามเณรประเทืองก็ตัดสินใจลาสิกขาถือเพศฆราวาสวิสัย ไปประกอบสัมมาชีพทำไร่ มันแกว อยู่ที่บ้านหนองกระทะ ตำบลช่องแค จังหวัดนครสวรรค์ ครั้งอายุได้ ๒๐ ปี ในพ.ศ.๒๔๙๑ ก็ปรารถนาจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พัทธสีมา วัดช่องแค นครสวรรค์ โดยมีท่านพระครูทอง วิสาโร เจ้าคณะอำเภอตาคลีในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์มีพระอาจารย์แบ๊ง วัดช่องแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาตี่ วัดเขาวงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในช่วงที่อยู่จำพรรษาวัดช่องแค เป็นห้วงเวลาเดียวกัน กับหลวงพ่อพรหม ยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสครองวัดนั้นอยู่ นับว่าเป็นบุญโชคของท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน สรรพวิทยาคมในสำนักหลวงพ่อพรหมแต่เป็นที่น่าเสียดาย ว่า ท่านได้ครองสมณเพศอยู่ได้เพียงพรรษาเดียว ก็จำต้องลาสิกขาเพราะถูกกฎหมายเกณฑ์ทหาร ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ที่เขาน้อย จังหวัดลพบุรี อยู่ได้ ๒ ปีเศษ แล้วสมัครเป็นสารวัตรทหารอยู่ที่ลพบุรี ครั้นเบื่อหน่ายอาชีพราชการ ก็ลาออกมาทำงานชลประทานซีเมนต์อยู่ช่องแค นครสวรรค์ หลังจากใช้ชีวิตฆราวาสเพศวิสัยอยู่ ๘-๙ ปี ก็เบื่อหน่ายปรารถนาจะบวชอีกสักครั้งซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ ๒๙ ปี พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษไปด้วยก็ตัดสินใจอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโนทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับสมณฉายาว่า อติกฺกนฺโต แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง (หลวงพ่อเล็กรูปนี้เป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางเ**้ย)
ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม

เนื่องจากหลวงพ่อประเทืองท่านมีอุปนิสัยชอบความสงบวิเวกใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียนมาแต่เดิม ครั้นได้กลับมาบวชใหม่อีกครั้ง ก็มีความตั้งใจที่วัดโพธิ์ทอง พอออกพรรษาแล้วได้เล็งเห็นว่าวัดไม่เป็นที่สงบเท่าที่ควร เพราะท่านไม่ชอบที่จะระคนด้วยหมู่คณะจึงปลีกตนออกปฏิบัติกราบลาพระอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์ แสวงหาความรู้กับครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาสรรพวิชาเพิ่มเติม หลวงพ่อประเทือง ได้เดินธุดงค์ไปตามเขาทั่วภาคตะวันออกเฉียงจรดไปถึงถ้ำนาแก นครพนม ได้พบกับพระป่านักปฏิบัติหลายรูปทั้งได้ขอเล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับอาจารย์บุญลือเป็นฆราวาสชาวเขมร ผู้เก่งกล้าในด้านไสยศาสตร์ ท่านก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาถอนคุณไสยต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้วเดินธุดงค์ต่อไปอีก หลังจากนั้นเดินธุดงค์กลับมานมัสการรอยพระพุทธบาท สระบุรี ซึ่งในช่วงนั้นเอง ได้เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นว่าเล่น ชาวบ้านก็ปลื้มในที่ได้พบพระธุดงค์ ได้ขอร้องให้ท่านโปรดเมตตาช่วยอนุเคราะห์รักษาโรค ท่านก็ยินดีอยู่ช่วยรักษาให้โดยใช้สมุนไพรตามที่ได้ศึกษามาประกอบมาปรุงยาต้มให้ชาวบ้านกินกันจนหายเป็นปกติ ยังความปลื้มปิติเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของคนในหมู่บ้านกันทั่วสืบสายพุทธาคม
ความเป็นหนึ่งในเวทวิทยาคมของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ในปัจจุบันย่อมเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษยานุศิษย์และผู้นิยมวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลหรือเครื่องรางวัลขลังของท่านนั้น ที่สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อหรือคณะศิษย์สร้างถวายก็ตาม โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสกล้วนมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับเชื่อถือในความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์

ปาฏิหาริย์ล้ำเลิศมากมาย
การกล่าวได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ก็เพราะท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มากไปด้วยครูบาอาจารย์ แสวงหาความรู้เล่าเรียนศึกษาพุทธาคมอย่างไม่รู้จบ และเหตุที่ครูบาอาจารย์ของท่านก็ล้วนแต่เลื่องลือกิตติศัพท์เป็นที่เคารพของสาธุชนทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐ ปี ที่ออกเดินธุดงค์ ก็ได้ศึกษาสรรพวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ต่างๆ มามากมายเท่าที่ได้กราบนมัสการเรียนถามว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใด บ้างที่ท่านเคยเป็นศิษย์ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมซึ่งท่านได้ลำดับครูบาอาจารย์ดังนี้
๑. พระอาจารย์อ่อน วัดหนองแขม นครสวรรค์ (มีศักดิ์เป็นอา ได้ศึกษาตั้งแต่เป็น สามเณร)

๒. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ (เมื่อครั้ง ไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้เป็นสามเณรที่วัดหนองโพธิ์)

๓. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์ (ศึกษาอยู่ได้ 1 พรรษา ตอนบวชครั้งแรก)

๔. พระอาจารย์เล็ก วัดคลองเม่า ลพบุรี

๕. หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง นครสวรรค์ (เมื่อครั้งอุปสมบทอยู่วัดโพธิ์ทอง ซึ่งหลวงพ่อเล็กรูปนี้ เป็นศิษย์ที่สืบทอดพุทธาคมมา จากหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย(วัดคล่องด่าน)

๖. อาจารย์บุญลือ (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นชาวเขมร (เมื่อคราวออกธุดงค์)



อิทธิปาฏิหาริย์

ประสบการณ์วัตถุมงคลและ อิทธิปาฏิหาริย์

เมื่อพูดถึงเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์หรือที่เรียกกันอย่างสามัญว่าอภินิหาร เป็นเรื่องเหนือสามัญวิสัยขอบเขตกว้างขวาง ยังพลังอำนาจลึกเร้นมหัศจรรย์ ยากอรรถาธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อถือ เพราะคิดว่า เป็นเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร สำหรับผู้ที่เชื่อ รู้เห็นประจักษ์ หลักฐานเกิดประสบการณ์กับตนเองและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างดีมาแล้วพระพุทธเจ้า ทรงมีอิทธิปาฏิหาริย์แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ ดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎกหรือในอรรกถา เช่น ยมกปาฏิหาริย์ แก้คำท้าของพวกเดียรถีเป็นต้น แม้พระอรหันตสาวกก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ดังปรากฏในบาลีหรืออรรถกถาอยู่มากมาย ฉะนั้นความเชื่อในเรื่องนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความเชื่อที่สืบทอดมาถึงความเชื่อศรัทธาพระเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลในยุคปัจจุบันร่ายยาวมาพอสมควรก็เพื่อเป็นการปูทางเข้าสู่ประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ที่คณะศิษยานุศิษย์เคารพนับถือ เกิดประสบการณ์ในรูปแบบ ต่างๆ บันทึกเรื่องให้เกิดอรรถสาระมากยิ่งขึ้นอภินิหารรูปหล่อเหมือนพุทธกวัก รุ่น ๑เรื่องแรก เป็นประสบการณ์จากทหารหาญ มีนายทหารนอกราชการ พันโทบัณฑิต บำรุงกูร สังกัดกองพันทหารที่ ๓ ค่ายพ่อขุนผาเมือง ได้ขึ้นไปสู้รบกับผู้ก่อการร้ายที่อำเภอบ้านร่มเกล้า พิษณุโลก เมื่อปี ๒๕๓๑ ได้เกิดปะทะกับผู้ก่อการร้าย พันโทบัณฑิต ถูกระดมยิงด้วยปืนเล็กและปืนใหญ่เป็นเวลานานจนทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มทับขาทั้งสองข้าง ถึงขาจะไม่ขาด แต่กระดูกก็หัก กระนั้นกระสุนก็หาได้ถูกตัวไม่ เมื่อสงบลงเพื่อนๆ ก็ช่วยกันนำมารักษาหายเป็นปกติ ภายหลังได้รับเลื่อนยศจากเดิมสิบเอกเป็นพันโท ดังกล่าวอีกคราวหนึ่ง คนเดียวกันนี้เอง เมื่อลงมาอยู่ข้างล่างได้ขับรถจากเพชรบูรณ์ไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังถิ่นเดิมจังหวัดขอนแก่น ไปประสบอุบัติเหตุที่อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์เหตุเกิดจากการหลบรถสิบล้อ ทำให้เสียหลัดตกลงเหว แต่เดชะบุญรถไปค้างอยู่กับต้นไม้ สภาพรถพังยับเยิน ตัวพันโทบัณฑิต ไม่มีแม้แต่รอยแผล ทั้งสองคราวนี้ ทราบว่าท่านมีของดีเป็นรูปหล่อเหมือนรุ่นแรกพุทธกลักของหลวงพ่อประเทือง ที่สร้างเมื่อปี ๒๕๒๔ ที่ฐานได้ประจุด้วยเทียนชัยและเส้นเกศาของหลวงพ่อไว้ด้วยเรื่องที่ ๒ จ่าสิบเอกสุรัตน์สังกัดกองพันทหารม้าที่ ๒๖ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ในขณะที่นั่งตัดผมอยู่ในร้านตลาดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ช่างตัดผมกำลังกันผมอยู่ที่ต้นคอ และเป็นเวลาเดียวกันที่เพื่อนของจ่าเดินผ่านมาหน้าร้าน ร้องตะโกนเรียก จ่าสุรัตน์ก็หันขวับไปตามเสียงเรียกทันที ก็เป็นขณะเดียวกันที่ช่างปักคมมีดลงที่ใต้คออย่างแรง ใจหายวาบ คงเย็บหลายเข็ม พอพิจารณาดูแล้ว เหมือนกับไม่แน่ใจตนเองไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วนนายช่างถามว่ามีของอะไรดี แม้แต่ตัวจ่าก็คิดเช่นเดียวกัน พอตั้งสติได้ก็ตอบไปว่ามีรูปหล่อเหมือนรุ่นแรกพุทธกวักของหลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาภายในค่ายอยู่ปีกว่าประสบการณ์เหรียญรุ่นแจกทหาร ท.บ.๑เรื่องที่ ๓ จ่าสิบเอกวารี ช่อประทีป สังกัดกองร้อยสนับสนุนช่วย ค่ายขุนผาเมือง ได้ขับรถเก๋งส่วนบุคคลออกจากค่ายไปทำธุระที่ตลาดเมืองเพชรบูรณ์ พอไปถึงหน้าโรงพยาบาลเพชรรัตน์ ก็มีรถจักรยานยนต์ขับมาด้วยความเร็วตัดหน้ารถ ยังไม่ทันที่จะระวังตัวก็หักหลบ รถพลิกคว่ำกลางถนน ๓ ตลบ แล้วพลัดตกลงข้างทาง (อยู่ในช่วงฤดูฝน) น้ำข้างๆ ถนนก็เจิ่งนองเต็มไปหมด ปรากฏว่าทั้งรถทั้งคนจมลงไปในเลนน้ำ พอเจ้าตัวตั้งสติสัมปชัญญะได้ก็คิดหาทางออกอยู่นานก็ออกไม่ได้ ก็นึกถึงหลวงพ่อประเทืองขึ้นมาได้มือไปสัมผัสกับกระจกรถ กดลงมาก็เปิดไม่ได้อีก จึงตัดสินใจกระทุ้งเอาตัวรอดออกมาได้ แล้วรีบขึ้นมายืนอยู่บนถนนจากการเปิดเผยของ จ่าสิบเอกวารี ว่ามีเหรียญรุ่นแจกทหาร (ท.บ.๑) ลักษณะเป็นเหรียญกลม มีโค๊ดเลข ๕ และเลข ๑๑๕ ซึ่งความเป็นมาของเหรียญรุ่นนี้
ได้มีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงพ่อ ว่าเหตุใดจึงมีเลข ๕ ตัวเดียว บางเหรียญก็มีเลข ๑ อยู่ถึง ๒ ตัว และเลข หลวงพ่อบอกว่า วันที่ ๑ เดือน ๑ ปี ๕ หมายถึง วันเดือนปีเกิดของท่านคือเลข ๑ เป็นวันอาทิตย์เดือน ๑เป็นเดือนอ้าย เลข ๕ เป็นปีมะโรง ทำวันเสาร์ห้า ปี๒๕๓๗ รุ่นนี้หลวงพ่อเรียกว่า รุ่น ท.บ.๑ ส่วนด้านหลัง เป็นรูปสัญลักษณ์กงจักร ว่ากันว่า เหรียญรุ่นนี้มีประสบการณ์เหลือหลาย อย่างเช่น มีนายพันโท ทางจังหวัดกาญจนบุรี ที่ลาดหญ้า เคยอาราธนาเป็นหลังเป้าให้ทหาร ยิงเป้า ๕ คน ยิงไปที่เป้าที่มีเหรียญอยู่ปรากฏว่าทั้งห้ากระบอกไม่ได้ยินเสียงปืนสักนัดเลยเรื่องที่ ๔ เหรียญรุ่นเดียวกันนี้เองจ่าสิบเอกไพฑูรย์ สวนสิริ สังกัดกองพันทหารม้าที่ ๑๓ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ค่ายขุนผาเมือง ซึ่งค่ายขุนผาเมืองนี้ มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อประเทืองแทบทั้งนั้น เคยไปร่วมรบกันมาที่จังหวัดน่าน ยึดเยื้อมาถึงอุตรดิตถ์ ๓ หมู่บ้าน แล้วที่เขาค้า บ้านร่มเกล้า อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ตาก แม่สอด ท่าสองยางทหารของกองพันม้าที่ ๑๓ ค่ายขุนผาเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ แต่เดิมขึ้นตรงอยู่กับกองพันม้าที่ ๑ ที่ย้ายมาจากกรุงเทพมหานคร ที่สนามเป้า ไปอยู่ที่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ตั้งค่ายขึ้นใหม่ เป็นชื่อค่ายพ่อขุนผาเมืองจ.ส.อ.ไพฑูรย์ พร้อมด้วยครอบครัว ได้เดินทางไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่จังหวัดขอนแก่น ระหว่างทางเห็นว่าถนนว่างก็ขับด้วยความเร็วประมาณ ๑๒๐-๑๓๐ คุยกับภรรยาไปด้วยและลูกๆ นั่งอยู่ด้านหลัง คุยกันมาเพลินพอลงจากภูเขตน้ำหนาวไปเป็นจังหวัดขอนแก่น เหลืออีก ๓๐ กิโลเมตร ขณะที่กำลังคุยกันเพลินนั้น ไม่ทันมองว่าข้างหน้ามีรถสิบล้อ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัดสินใจหักหลบข้างทาง แม็กล้อทางซ้ายล้อหน้าหลุดทำให้รถพลิกลงข้างทาง สูงประมาณ ๕๐ เมตร สภาพรถพัง กระจกก็แตกหมด ส่วนลูกเมียก็หลุดออกมาแต่ก็ไม่เป็นไร สำหรับตัวเองติดอยู่กับเข็มขัดนิรภัย กระจกหน้าก็แตก หลังคารถยุบมีรถปอเต็กตึ้งมากันหลายคัน ลงไปดูคิดว่ามีคนตายแต่ก็ผิดหวัง พอออกมาจากรถได้ก็บอกว่า รถผมเองผมเป็นคนขับ ตัวจ่าก็ไม่ได้รับอันตรายได้ๆ เลย และเล่าว่าในรถมีเหรียญเสาร์ห้า ของหลวงพ่อประเทือง รุ่น ท.บ.๑ แขวนอยู่หน้ารถเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ในระหว่างนั้นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายพอดู ปรากฏว่าเหรียญก็หายไปในช่วงนั้นด้วย ต้องกลับไปกราบเรียนหลวงพ่อประเทือง ที่วัดหนองย่างทอยสุดยอดปาฏิหาริย์ตะกรุด ๙ ชั้นในเรื่องประสบการณ์วัตถุมงคลของหลวงพ่อประเทืองใช่ว่าจะมีแต่เพียงเหรียญ รูปหล่อ แม้แต่ตะกรุดที่ท่านสร้างขึ้น ก็มีประสบการณ์มากมาย ลูกศิษย์บางคนไปมีประสบการณ์มาก็ไม่กล้าเปิดเผยด้วยความละอาย ก็เพราะไปโดนรุมมาก็มีแต่ก็รอดปลอดภัยมาได้เสมอตะกรุดของท่านนับว่าเยี่ยมยุทธเป็นของดีของแท้ที่ทำขึ้นให้กับลูกศิษย์เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว และท่านก็บอกสอนเสมอว่า ไม่ให้เอาไปทดลอง บางคนนึกคึกคะนอง เมื่อได้ไปแล้วก็อยากทดสอบความขลังดู คนเราส่วนมาก เมื่อได้ของดีไปแล้วก็อยากพิสูจน์ว่าดีจริงสมคำเล่าลือหรือไม่ มิเช่นนั้นแล้วรับรองว่านอนไม่เป็นสุข เป็นเรื่องที่คาใจไม่รู้จบ สำหรับเรื่องนี้หลวงพ่อเคยย้ำเตือนสติไว้เสมอว่า ...การทดสอบของดีด้วยการยิงแทงหรือฟันแม้เป็นเรื่องเสี่ยงไม่น้อย แต่ก็เป็นที่พอใจของคนที่อยากพิสูจน์ จึงห้ามเขาไม่ได้ กระนั้นถ้าจะพิสูจน์จริงๆ แล้วทีสองทีก็พอแล้ว อย่าให้ถึงกับเดือดร้อนตัวเองอย่างเช่นรายนี้เหตุเกิดที่กรุงเทพฯ ได้มีพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งที่รับเหมาเศษวัสดุเก่าๆ ได้ไปเช่าตะกรุดเสาร์ห้า ๙ ชั้น ที่ปลุกเสกเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๗ ที่วัดสุทัศน์ฯ และได้ทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวอีกครั้งที่วัดหนองย่างทอย นำไปทดลองผูกไว้กับคอไก่ แล้วยิงด้วยปืนขนาด .๒๒ จ่อยิง ๓ นัดไม่ออกสักนัด ดูเหมือนว่าตนเองยังไม่มั่นใจ ก็ลองยิงอีกที ลูกระสุนคาอยู่ที่ปลายกระบอก แล้วห้อยตกลงมาไม่ถึงตัวไก่ มีคนไปยืนดูกันมากมาย ต่างก็อัศจรรย์ใจไปตามๆ กัน
สำหรับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อประเทืองโดยตรงนั้น ก็เคยมีมาแล้วเช่นกันเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคราวที่หลวงพ่อมารับเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองย่างทอย ซึ่งในปีนั้นที่วัดถ้ำบุณนาคนครสวรรค์ ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้น ในสมัยก่อนงานปลุกเสกใหญ่ๆ หายากนานๆ จะมีสักครั้ง หลวงพ่อคิดจะเอาของไปเข้าพิธีปลุกเสกครั้งนี้ด้วย เมื่อท่านสร้างตะกรุดได้ประมาณ ๑ ลังเบียร์ เพื่อเตรียมเข้าร่วมพิธีที่วัดถ้ำบุณนาค ก็ได้จ้างรถขนตะกรุด เมื่อไปถึงวัดซึ่งทางวัดได้ตั้งกำหนดราคาค่าของกิโลกรัมละ ๓๐ บาท ตะกรุดตั้ง ๑ ลังเบียร์ คงไม่มีเงินให้เขา หลวงพ่อจึงไปขอร้องกรรมการวัดให้นำตะกรุดเข้าร่วมพิธีด้วย แต่กรรมการไม่ยอมจะต้องทำตามระเบียบที่วางไว้ แล้วท่านไปขอร้องคณะกรรมการอธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์ ก็ได้รับการปฏิเสธอีก จึงไปขอร้องเจ้าอาวาสให้ช่วยพูด คณะกรรมการก็ยังไม่ยอมหลวงพ่อเห็นว่าไม่เป็นผล เข้าไปหายามที่คุมงานแล้วบอกกับยามให้ยิงตะกรุดที่หลวงพ่อทำมาซะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่ให้เข้าร่วมพิธีแล้วนี่ ยิงทิ้งมันไปเลย ผู้คนที่มาในงานต่างมายืนดูกันล้นหลาม ยามได้เล็งปืนไปที่ลังเบียร์แล้วยิงใส่ ๓ นัด ไม่ได้ยินเสียงปืนดังสักนัดเลย คนดูอัศจรรย์ใจไปตามๆ กัน บ้างก็พูดว่า เหลือเชื่อเกิดมาพึ่งจะเคยเห็นของจริงกันนี้แหละ ก่อนกลับวัดหลวงพ่อได้ตั้งปณิธานไว้ว่า ของทุกอย่างจะปลุกเสกเดี่ยว ไม่ขอให้ใครช่วยปลุกเสกเหมือนอย่างที่เขาพูดกันว่าชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกินฤทธานุภาพดาบฟ้าฟื้นประสบการณ์ที่เกี่ยวกับวัตถุมงคลโดยตรงแต่เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง อย่างเช่น ดาบฟ้าฟื้นของหลวงพ่อ ซึ่งดาบฟ้าฟื้นนี้ เป็นดาบที่หลวงพ่อลงจารอักขระไว้และไม่ใช่เป็นของเล่น ท่านไม่ให้ใครลอง มีไว้สำหรับป้องกันตัวป้องกันภูตผีปีศาจ แก้คุณไสยก็ได้เมื่อหลวงพ่อจารอักขระเสร็จ ก็พูดกับลูกศิษย์ที่เป็นทหารว่า ดาบนี้เมื่อขอบารมีแล้ว สามารถตัดรุ้งได้ (มายถึงรุ้งกินน้ำที่อยู่บนท้องฟ้า) รุ้งก็จะขาด แต่อย่าไปทำนะรุ้งกินน้ำก็มีชีวิต มันบาปนะลูกเรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดทุ่งเรไร เพชรบูรณ์ ซึ่งทางด้านหลังจะมีสำนักแม่ชีไทยที่หลวงพ่อสร้างให้ความอุปถัมภ์และเป็นวัดเก่าแก่มีต้นไม้ใหญ่ เช่นต้นมะม่วง ต้นยาง ต้นสักขึ้นเต็มไปหมดวันนั้น ไม่รู้เป็นอย่างไร จ่าบุญมาก ทหารค่ายขุนผาเมือง นึกครึ้มๆ ขึ้นมา พอหลวงพ่อเข้าไปในกุฏิ ก็หยิบเอาดาบขึ้นมาอาราธนาขอบารมี แล้วฟันไปในอากาศ ซึ่งในขณะนั้นเมฆฝนก็ไม่ได้ตั้งเค้า เพื่อจะให้กิ่งมะม่วงซึ่งเป็นมะม่วงป่า ขนาด ๒ คนโอบที่มีกิ่งใหญ่ยื่นออกมา ครั้นฟันไปในอากาศ ปรากฏว่ากิ่งมะม่วงขาดครืนลงมา หลวงพ่อกำลังสวดมนต์อยู่ในกุฏิ ได้ยินเสียงครืน ก็ออกมาถามจ่าบุญมากๆ ก็ตอบหลวงพ่อไปว่าลองขอบารมี แล้วฟันไปในอากาศ กิ่งมะม่วงขนาดใหญ่ก็ขาดดังครืนลงมา

ย้อนกลับมาถึงเรื่องตะกรุด ๙ ชั้นอีกทีจ่าบ๊อง สังกัดทหารค่ายเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก เหตุเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๒ จ่าบ๊อง ได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากค่ายไปที่อำเภอเมือง ถูกรถบรรทุกลากเอาไปทั้งรถทั้งคนระยะทางเกือบ ๑๘ เมตร สภาพรถพังยับเยินใช้การไม่ได้ แต่ตัวจ่าบ๊อง สังกัด ร.บ.พัน ๘ พิษณุโลก ไม่มีแม้แต่รอยแผล ถามว่ามีอะไรดี บอกว่ามีตะกรุด ๙ ชั้น ของหลวงพ่อประเทืองคาดเอวอยู่เพียงดอกเดียวสำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับตะกรุด ๙ ชั้น ซึ่งในแต่ ละชั้นนั้น หลวงพ่อได้ลงยันต์จารอักขระไว้ครบทุกแผ่น ศึกษาได้จากเรื่องประวัติการสร้างวัตถุมงคล ส่วนข้อห้ามเกี่ยวกับตะกรุดนั้น ห้ามนำตะกรุดไปร่วมประเวณีกับสตรีเพศ ถ้าผิดสิ่งนี้แล้วแก้ไม่หาย ใครที่รู้ว่ามีของดีอยู่กับตัว ก็จงปฏิบัติให้ถูกต้องอยู่ในศีลธรรมตามครูบาอาจารย์ อย่าออกนอกลู่ทาง ของดีจะได้คุ้มคนดีตลอดไปเรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ประสบการวัตถุมงคลของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต เท่าที่นำเสนอทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีประสบการณ์วัตถุมงคลรุ่นอื่นๆ อีกมากทั้งที่ได้รับการเปิดเผยในนิตยสารพระเครื่องต่างๆ ก็ต้องขอขอบคุณคณะศิษยานุศิษย์และผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง ดังเรื่องที่กล่าวถึงเบื้องต้น
ราคาปัจจุบัน
โชว์
จำนวนผู้เข้าชม
2166 ครั้ง
สถานะ
โชว์พระ
โดย
ชื่อร้าน
พลศรีทองพระเครื่อง( บู เชียงราย )
URL
เบอร์โทรศัพท์
0877124640
ID LINE
busoftware52
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ / 282-2-248xx-x




กำลังโหลดข้อมูล

หน้าแรกลงพระฟรี